เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๒ ธ.ค. ๒๕๕๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ เราอยู่ในโลกความเป็นจริง ถ้าโลกความจริงเป็นแบบนี้ ครอบครัวใหม่มันก็มีความอบอุ่นในครอบครัว คนในครอบครัวเรามีความมั่นคง นี่โลกแห่งความเป็นจริง แต่โลกแห่งความเป็นจริงเป็นโลกสมมุติ ถ้าโลกสมมุติ ฟังธรรมๆ ฟังธรรมเพื่อความเป็นจริงไง เราแสวงหาความจริงกันนะ ที่มา เราค้นคว้าจะหาความจริง แล้วความจริงมันอยู่ที่ไหน ถ้าความจริงมันอยู่ที่ไหนนะ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ชาติจะเกิดขึ้นมาได้เพราะชุมชนรวมขึ้นมาเป็นชาติ ถ้ามีศาสนาหล่อหลอม ศาสนาทำให้สัจจะความจริงขึ้นมา พระมหากษัตริย์เป็นผู้ปกครอง ถ้าผู้ปกครอง ความปกครองอันนี้ ถ้าเรามองแล้วความเป็นความจริงขึ้นมาเราก็มองไปที่ศาสนา ใครจะนับถือลัทธิศาสนาใดก็ทำตามความเชื่อของตน ตามความเชิ่อของตนนะ

ในรัฐธรรมนูญบอกว่า เรามีสิทธิการนับถือศาสนา เป็นสิทธิ์พื้นฐานของมนุษย์ เราจะไม่ดูหมิ่นดูแคลนกัน เราจะไม่ดูหมิ่นดูแคลนความเชื่อของคนอื่น เขามีความเชื่ออย่างไรเป็นความเชื่อของเขา ถ้าความเชื่อของเขา ลัทธิศาสนาทุกคนก็ว่าสอนให้เป็นคนดี เป็นคนดีไง แต่ความเป็นคนดี คนดี ดีในลัทธิศาสนานั้น

แต่ถ้าศาสนาพุทธเรา ศาสนาพุทธเราศาสนาแห่งความเป็นจริง ความเป็นจริงที่ไหน ความเป็นจริงที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันต์ คำว่า “เป็นพระอรหันต์” ทุกคนซักไซร้ ทุกคนมีความลังเลสงสัย เพราะเจ้าลัทธิศาสนาต่างๆ ในสมัยพุทธกาลมีมหาศาล มันก็มีการโต้ตอบกันด้วยสัจธรรม ด้วยสัจธรรมความจริงๆ ความจริงมันเป็นความจริง เราก็มาแสวงหาความจริงกัน ถ้าแสวงหาความจริงกัน ความจริงของเราด้วยวุฒิภาวะของหัวใจ ด้วยวุฒิภาวะของหัวใจใครมีความมั่นคงมากน้อยขนาดไหน เขามีความเชื่อไง ดูสิ คนที่อ่อนไหวความเชื่อง่าย คนที่มีหลักมีเกณฑ์เขาไม่เชื่อสิ่งใดง่ายๆ

เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาถึงที่สุดนะ เวลาประพฤติปฏิบัติไปแล้ว กาลามสูตร ไม่ให้เชื่อเลย ศรัทธาความเชื่อๆ สิ่งที่เป็นความเชื่อ ความเชื่อ ความเชื่อมันเป็นหัวรถจักรทำให้เรามั่นคงในลัทธิศาสนาใด แล้วเราจะมีการค้นคว้าๆ ของเราไง การค้นคว้าคือการประพฤติปฏิบัติไง ศีล สมาธิ ปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญา การกระทำที่มันเกิดขึ้นมาจากความเป็นจริงนะ ถ้าความเป็นจริง ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา เวลาพระสารีบุตรปฏิบัติถึงที่สุดแห่งทุกข์แล้วบอกเลย ไม่เชื่อองค์สมเด็จพระสัมมสัมพุทธเจ้า พระนี่งงนะ พระไปฟ้ององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า พระสารีบุตรบอกไม่เชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านิมนต์พระสารีบุตรมา “สารีบุตร เธอพูดอย่างนั้นจริงๆ หรือ”

จริงพระเจ้าค่ะ แต่ฟังก่อนนะ แต่ฟังก่อนว่า แต่เดิมมีความเชื่อมั่นมาก มีความเชื่อในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลามันทุกข์มันยากขึ้นมา ไปเที่ยวแบบลูกเศรษฐี เขามีงานมหรสพสมโภชที่ไหน เขาก็ไปเที่ยวไปเล่นสนุก มันมีความสนุกของมัน แต่เวลามันเบื่อหน่ายขึ้นมามันมีแต่ความทุกข์ความยากเผาลนหัวใจ สัญญากันว่าจะหาทางออกๆ ไปศึกษากับสัญชัย สัญชัยก็สอน “นั่นไม่ใช่ๆ” มันก็มีแต่ความทุกข์ความยากในใจมาทั้งนั้นน่ะ เพราะมันสงสัย มันยิ่งค้นคว้า มันยิ่งประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันยิ่งสะเทือนใจไง แต่พอมาเจอพระอัสสชิ เห็นพระอัสสชิสำรวมระวังอย่างนั้นน่ะ “ใครเป็นศาสดาของเธอ ขอให้บอกหน่อย”

บอกว่า “เราเพิ่งบวชใหม่ เราบอกไม่ได้ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอน ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ต้องไปดับที่เหตุทั้งนั้นน่ะ”

ด้วยใช้ปัญญาของเขาขบขึ้นมาแล้วกิเลสมันขาดสิ้นไป กิเลสขาดสิ้นไป สิ่งที่เป็นสักกายทิฏฐิความเห็นผิดสิ้นไป พอสิ้นไป แสวงหาๆ ไปหาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คนที่ประพฤติปฏิบัติอยู่นะ คนเราทำหน้าที่การงาน เราตะเกียกตะกายอยู่นี่ ต้องการคนช่วยเหลือไหม เรามืดบอดแปดด้านเลย เราต้องการคนชักนำไหม เวลาเรามีความสงสัยในหัวใจ เราต้องมีคนชี้นำเราหรือเปล่า มันต้องการทั้งนั้นน่ะ

บอกว่าเดี๋ยวนี้ไม่เชื่อ เออ! ไม่เชื่อ แต่ก่อนนั้นเชื่อ แต่ก่อนนั้นขวนขวายมาเต็มที่ๆ แต่เวลาเป็นความจริงแล้ว ความเชื่อมันไม่ใช่ความจริง ถ้าความเชื่อ พอความจริงที่มันเกิดขึ้นในใจของพระสารีบุตร เวลามันเกิดขึ้นในใจของพระสารีบุตรมันเป็นความจริงขึ้นมาแล้วไม่เชื่อ เพราะมันเป็นจริงกลางหัวใจนั้น ไม่เชื่อสิ่งใดทั้งสิ้นเลย

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ใช่ ความจริงเป็นแบบนั้น

ผู้ที่หาความจริงถึงที่สุดแห่งทุกข์แล้วมันไม่มีปัญหาใดๆ ทั้งสิ้นถ้าเป็นความจริงนะ ถ้าไม่เป็นความจริง อย่างเรา วุฒิภาวะของเรา เราก็แสวงหาของเรา ขอให้มีความเชื่อเถิด ถ้าไม่มีความเชื่อ ดูสิ คนที่ไม่มีความเชื่อคัดค้านไปหมดเลย พอคัดค้านไปหมดเลย แล้วก็พาชีวิตไปตามทิฏฐิมานะของตน พอไปตามทิฏฐิมานะของตน ถ้ามีศรัทธาความเชื่อในพระพระพุทธศาสนา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นพระรัตนตรัย เป็นที่พึ่งของเรา เป็นแก้วสารพัดนึกนะ ถ้าเรามีความมั่นคงในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นพุทธมามกะ มันจะมีการศึกษา ถ้าการศึกษา การศึกษาแล้วมันก็มีมุมมองความเห็นของตนใช่ไหม ถ้ามีความเห็นของตน จะเอาหลักเกณฑ์ๆ ถ้าเอาความจริงๆ ความจริงมันก็ต้องมีศีล เวลาศีลของเรา ศีลไม่ให้เบียดเบียนกัน ไม่ให้ลักของกัน ไม่ให้ทำร้ายกัน ไม่ส่อเสียดใครทั้งสิ้น ความจริงของศีลไง ถ้าศีลเป็นความจริง สิ่งที่เป็นความจริงเราแสวงหาความจริงกันอยู่นะ ถ้าความจริงของศีล นี่มนุษย์สมบัติ ถ้าใครมีศีล ๕ สมบูรณ์โดยการรักษามา มนุษย์สมบัติเพราะมีความสมบูรณ์อย่างนี้ถึงได้เกิดเป็นมนุษย์ไง แล้วพอเกิดเป็นมนุษย์ขึ้นมาแล้ว มนุษย์ที่มีอายุยืน มนุษย์ที่ประสบความสำเร็จ เขาได้เสียสละทานของเขา เขาได้ดูแลคุ้มครอง ชีวิตเขาไม่สั้นไง คนเราเกิดมาชีวิตสั้น อุบัติเหตุต่างๆ มันมีที่มาที่ไปทั้งนั้นน่ะ เราทำอะไรไว้ เราทำสิ่งใดไว้ พอถึงที่สุดแล้วสิ่งนั้นมันต้องตอบสนองมา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เชื่อกรรมไง กรรมการกระทำไง เราทำอะไรมา เราทำคุณงามความดีมา เราสะสมแต่คุณงามความดี ความดีอันนั้นมันจะทำจิตใจนี้มั่นคง ทำให้จิตใจนี้ไม่วอกแวกวอแว ถ้าไม่วอกแวกวอแว ในศีล ห้ามเบียดเบียน ห้ามกระทำทั้งสิ้น ห้ามทั้งหมดเลย แล้วไม่เบียดเบียน เราก็รักษาศีล ถ้ามีศีลของเรา เราทำความสงบใจเข้ามา

เรามาแสวงหาความจริง แสวงหาความจริงนะ ถ้าแสวงหาความจริง ความจริงในวัฒนธรรม ความจริงในปุถุชน กัลยาณปุถุชน กัลยาณปุถุชนมันดูแลหัวใจของเราให้ดี รูป รส กลิ่น เสียงเป็นบ่วงของมัน เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร มันเป็นทั้งบ่วง เป็นทั้งสิ่งล่อ สิ่งล่อให้จิตใจนี้ไขว้เขว เป็นพวงดอกไม้แห่งมารมันล่อลวงให้เราไป เวลาล่อลวงไป เรามีความเชื่อ มันมัดคอเลย นี่เป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร มันรัดคออยู่อย่างนั้นน่ะ แล้วมันทำความสงบของใจลงไม่ได้ แสวงหาความจริงๆ ก็ความจริงในการประพฤติปฏิบัติ ความจริง เห็นไหม เพราะอะไร เพราะศีลที่ละเอียดแล้วมันเป็นอธิศีล อธิศีล มโนกรรม ความคิดผิดคิดถูกนั่นแหละ ความคิดของตนนั่นน่ะ ความคิดสำคัญตนนั่นน่ะ นั่นน่ะตัวร้าย ถ้ามันตัวร้ายอยู่ที่นั่นมันทำความสงบของใจไม่ได้ขึ้นมา ถ้ามันมีความสงบของใจเข้าไป

เวลาในช่วงของศีล ความจริงในศีลในธรรม เวลาเข้าสู่สัจธรรมนะ พอจิตมันสงบเข้ามา จิตสงบเข้ามา ถ้ามีครูบาอาจารย์คอยชี้แนะยกขึ้นสู่วิปัสสนา ถ้ายกขึ้นสู่วิปัสสนา วิปัสสนาปัญญาการรู้แจ้ง มันจะเชือดเฉือนกันด้วยปัญญา ปัญญาที่มีศีล มีสมาธิรองรับ มันเกิดปัญญา เกิดภาวนามยปัญญา เวลาเกิดภาวนามยปัญญามันสำรอกมันคาย เวลาถึงที่สุดถ้ามันพิจารณาของมันนะ มันชำระล้าง มันฆ่า

การฆ่า การทำลายในระดับของพระพุทธศาสนานี้ห้ามหมดนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร เราจะไม่จองเวรจองกรรม เราจะไม่บาดหมางกับใครทั้งสิ้น สิ่งที่มันบาดหมางมันเป็นกรรมเก่า มันเป็นทัศนตคิที่มันไฟท์กันมา มันขัดแย้งกันมา เราให้อภัย เราพยายามจะทำความร่มรื่นร่มเย็นในสังคม ในชีวิต ในความดำเนินชีวิตของเรา แต่เวลาขั้นของธรรม ความจริงของธรรม ถ้าไม่มีการฆ่า สิ่งที่ว่าฆ่ากิเลสๆ การฆ่า การทำลายอันนั้นในระดับของธรรม ถ้าระดับของธรรม การฆ่า การทำลายนั้น พระสารีบุตรถ้าไม่ได้พิจารณา ถ้าไม่สำรอกชำระล้างกิเลส ไม่เชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรงไหน แล้วเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทะนุถนอมมากนะ ปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ ด้วยอนุปุพพิกถา ผู้ที่ยังไม่รู้ ที่ยังไม่เข้าใจ ให้เขาเสียสละของเขา ให้เขาทำทานของเขา ให้เขาอยู่ในสังคมด้วยความร่มเย็นเป็นสุขไง กลิ่นของศีลกลิ่นของธรรมหอมทวนลมไง ถ้าเราทำคุณงามความดี ความดีอันนั้นจะคุ้มครองเราไง สุจริตธรรมจะคุ้มครองเราไง

เราทำความจริงๆ ความจริงมันคุ้มครองเรานะ ความจริงคุ้มครองดูแลนะ ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ธรรมะย่อมคุ้มครองนะ สิ่งที่คุ้มครองก็คือการกระทำของเรา คือบุญกุศลของเรา มันจะคุ้มครองเราไง ถ้าคุ้มครองเรา เราไม่เบียดเบียนกัน เราไม่ทำลายกันทั้งสิ้นไง องค์สมเด็จพระสัมมสัมพุทธเจ้าท่านสอนอย่างนั้น แต่เวลาพิจารณาไป เวลาเรื่องของธรรมๆ การฆ่ากิเลส องค์สมเด็จพระสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก การฆ่ากิเลส การทำลายกิเลสองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสรรเสริญ

เว้นไว้แต่การฆ่ากิเลส แล้วฆ่ากิเลสมันเป็นอย่างไรล่ะ การฆ่ากิเลสมันไม่กระทบกระเทือนใครนะ การฆ่ากิเลสกิเลส กิเลสตัณหาความทะยานในใจของตนน่ะ ใครได้ฆ่าได้ทำลายมันน่ะ มันยิ่งประเสริฐ มันยิ่งผ่องแผ้ว ยิ่งฆ่ายิ่งเจริญงอกงาม ยิ่งฆ่ายิ่งมีความมหัศจรรย์ การฆ่าอย่างนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสรรเสริญ แต่สรรเสริญ สรรเสริญแต่ผู้รู้จริง ผู้รู้จริงที่กระทำจริงที่ทำจากภายในมันทำอย่างนั้นน่ะ การฆ่า การทำลาย ยถาภูตัง ฆ่ามัน เกิดญาณทัสสนะรู้ว่ามันตายแล้ว ถ้ามันตายแล้วมันจะไม่ฟื้นกลับมาอีกไง ถ้ามันไม่ฟื้นกลับมาอีก สิ่งที่ไม่ฟื้นกลับมาอีกมันเป็นสัจจะ เป็นความจริง เป็นอกุปปธรรมๆ

สิ่งนี้ โลกนี้เป็นกุปปธรรม สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา เป็นกุปปธรรม มันแปรปรวน มันเป็นธรรมชาติ อกุปปธรรม อฐานะที่มันจะเปลี่ยนแปลง อฐานะๆ การอฐานะมันมีตัวตนไหม

เขาบอก นี่ไง พูดถึงว่า ถ้านิพพานเป็นนิพพานแล้วมันคับแคบ มันเป็นขันธ์ เขาคิดว่ามันเป็นรูปไง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณไง นี่มันมุมมองในทัศนคติของโลก มองในโลก มองในทางวิชาการไง เขายังไม่ได้ประพฤติปฏิบัติของเขา ถ้าเขาประพฤติปฏิบัติของเขา มันเป็นรูปได้อย่างไร ก็มันเป็นรูปไง รูปก็แค่สมาธิ ถ้าสมาธิ จิตตั้งมั่นนั่นแหละคือรูป จิตตั้งมั่นคือตัวตนของเรา ความเป็นตัวตนของเรา เพราะเป็นตัวตนของเรา เขาบอกมันจะคับแคบ เพราะทิฏฐิมานะของตนมันมี ทิฏฐิมานะของตน ถ้าระดับของธรรม ระดับของธรรมที่คนไม่เคยเห็น แม้แต่ภาวนาไม่เป็นก็ไม่รู้จักมัน คนที่ไม่เคยเห็น ไม่เคยได้จับต้องมันจะรู้จักได้อย่างไร เวลาศึกษามามันได้แต่ชื่อมาเท่านั้นน่ะ นั่นคือชื่อของมัน จำชื่อมันมาๆ แล้วพอจำชื่อมันมา เวลาฝ่ายปริยัติ เวลาครูบาอาจารย์ท่านบอก สมมุติมันมีเท่านี้ สมมุติมันมีเท่านี้ ภาษามันมีเท่านี้ ความรู้สึกเรามันอยากจะพูดออกมาอีกมหาศาล มันมหัศจรรย์มากเลย แต่มันผ่านภาษา ภาษามันบีบคั้นมา ภาษามันบีบให้พูดได้เท่านี้ไง แต่ไอ้คนที่ได้ภาษามาก็เอาภาษานั้นมาตีความว่าภาษามันเป็นอย่างนี้ไง ภาษาเป็นอย่างนี้มันก็เข้าใจว่ามันได้แค่นี้ไง มันก็เลยบอกว่ามันคับแคบ มันคับแคบ

มันคับแคบที่ไหน เวลาพิจารณาขึ้นไป สังโยชน์นะ สังโยชน์ ๑๐ เรารู้เสมอเขา สำคัญตนว่าเสมอเขา สำคัญว่าต่ำกว่าเขา สำคัญว่าสูงกว่าเขา เสมอกันนะ เราสูงกว่าเขา สำคัญว่าสูงกว่าเขา สำคัญว่าต่ำกว่าเขา สำคัญว่าเสมอเขา เราต่ำกว่าเขา สำคัญว่าต่ำกว่าเขา สำคัญว่าเสมอเขา สำคัญว่าสูงกว่าเขา ความสำคัญตน มานะ ๙ มันได้ทำลายไปแล้วมันมาคับแคบตรงไหน เวลาการประพฤติปฏิบัติระหว่างพิจารณาไป เขาไม่รู้ตรงนี้ เขาไม่รู้เห็นตรงนี้ไง พอไม่เห็นตรงนี้ มันก็พูดทางวิชาการ มันก็พูดเท่านั้น แล้วพูดทางวิชาการมันผิดออกไปไม่ได้ไง ภาษากฎหมาย ภาษากฎหมายมันก็ได้แค่นั้นน่ะ มันจะขยาย เพราะกฎหมายถ้าจะยกเว้นก็ต้องยกเลิกกฏหมาย ออกกฎหมายใหม่

นี่ก็เหมือนกัน ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบัญญัติไว้ในธรรมและวินัย เราศึกษาธรรมวินัยมาแล้วบอกว่ามันคับแคบ เพราะเขาเข้าใจว่านิพพานคือนิพพานก็คือตัวตน

นิพพานคือนิพพานไง

เขาบอกว่า ถ้านิพพานจะถูกต้อง นิพพานต้องเป็นสักแต่ว่า

สักแต่ว่านั่นคือตัวตน เพราะสักแต่ว่ามันมีผู้รู้สักแต่ว่าไง แต่นิพพานคือนิพพาน ก็นิพพาน ประสาเราว่ามันไม่ต้องพูด มันเป็นของเราเอง มันไม่มีใครอะไรทั้งสิ้น มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น แต่มันเป็นภาษาสมมุติไง สมมุติให้พูด สมมุติมันก็พูดแค่สมมุติเท่านั้นแหละ แต่มันไม่สืบต่อไปทั้งสิ้น มันไม่มีอะไรสืบต่อไปทั้งสิ้น นี่พูดถึงความจริงไง ความจริงระดับของใคร

เรามาแสวงหาความจริงกันนะ ถ้าแสวงหาความจริง หลวงตาท่านพูดประจำเวลาพวกเราออกไปทำงานให้ท่าน คำว่า “ต่อสู้ๆ” ท่านบอกคำว่า สู้กัน พยายามปะทะกัน นั้นมันเป็นการกระทบกระเทือนกันแล้วนะ ท่านรับไม่ได้เลย ท่านรับไม่ได้ ถ้าจิตใจมันพ้นออกไปแล้วนะ มันจะมีเมตตาธรรม เมตตาธรรมค้ำจุนโลก เมตตาในธรรมของท่านไง แล้วสิ่งนี้มันพูดไว้ให้เป็นประโยชน์กับศาสนา ให้เป็นประโยชน์กับนักปฏิบัติ ถ้าประโยชน์กับนักปฏิบัตินั่นคือเป้าหมาย แต่ถ้าคนไม่มีวุฒิภาวะมันก็จะเริ่มต้นว่าเอาเป้าหมายนั้นมาเป็นจุดเริ่มต้นไง เริ่มต้นจากว่าเราฟุ้งซ่าน เราทุกข์เรายาก ถ้าทำสมาธิเข้ามาก็นั่นไงตัวตน แล้วแค่นั้นแหละ แล้วมันไปไหนไม่ได้แล้ว แต่ไม่ได้บอกกระบวนการของมัน

กระบวนการของมันนะ มรรค ๔ ผล ๔ บุคคล ๔ คู่ โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล กระบวนการของมัน มันยิ่งพัฒนาขึ้นไป สติ มหาสติ ปัญญา มหาปัญญา แล้วเป็นปัญญาอัตโนมัติ ปัญญาที่มันมหาศาลขึ้นมา กระบวนการของมันอีกมหาศาลเลย กระบวนการของมันที่กระทำมาแล้วมันถึงมารู้แจ้งไง พอรู้แจ้งขึ้นมา ดูสิ พระสารีบุตร เธอไม่เชื่อเราหรือ ไม่เชื่อ ไม่เชื่อใครทั้งสิ้น มาเชื่อปัตจัตตัง เชื่อสันทิฏฐิโก มันเป็นความจริงอันนั้น แต่ความจริงอันนั้นมันจะเกิดจากการกระทำของเรานะ

นี่พูดถึงว่า เรามาแสวงหาความจริงนะ แต่มันเป็นความจริง ศึกษามาแล้ว ศึกษามาแล้ว ให้เป็นภาคปริยัติ เราจะประพฤติฏิบัติ ถ้าปฏิบัติเป็นความจริงขึ้นมา ความจริงเป็นชั้นเป็นตอนนะ ทำสมาธิไม่ได้ก็ไม่รู้จักสมาธิเป็นแบบใด

ครูบาอาจารย์ของเราเศร้านะ ท่านพูด เราฟังแล้วเราก็สะเทือนใจ เดี๋ยวนี้พระเรานะ นักปฏิบัติเราสมาธิยังทำกันไม่เป็น ถ้าสมาธิยังทำกันไม่เป็นคือจุดเริ่มต้นไม่เป็น เหมือนนักกีฬาไม่มีสิทธิแข่งขัน เราไม่มีสิทธิได้แข่งขันเลย มันต้องมีรอบคัดเลือก คัดเลือกเข้าไปสู่สิทธิในการแข่งขันกีฬานั้น จิตของเราก็เหมือนกัน จิตของเรา เราทำความสงบของใจไม่ได้เลย เราไม่มีสิทธิจะเข้าไปสู่สัจธรรมอันนั้นได้เลย เราก็คลุกคลีอยู่กับกิเลสตัณหาความทะยานอยาก สัญญาอารมณ์ของเราที่มันเก่าๆ มันก็เผาลนอยู่อย่างนั้นน่ะ เราไม่มีสิทธิสิ่งใดๆ เลยนะ นี่เวลาท่านพูดแล้วสะเทือนใจมาก เพราะท่านพูดอย่างนี้ ก็หมายความอย่างที่เราพูดนี่ เดี๋ยวนี้พระยังทำสมาธิกันไม่ได้ แล้วถ้าทำสมาธิไม่ได้ คำว่า “ทำสมาธิไม่ได้” มันก็จุดเริ่มต้นก็ไม่ได้แล้ว จุดเริ่มต้นน่ะ สิทธิในการที่จะแสวงหา สิทธิในการค้นคว้า สิทธิจะเข้าไปแสวงหาสู่สัจธรรม แล้วเรามาหาความจริงๆ กันอยู่นี่ ความจริงโลกๆ ความจริงแบบนี้ความจริงแบบประชาสัมพันธ์ ความจริงแบบสถิติ ความจริงแบบยอมรับกันน่ะ มันไม่ใช่ความจริงจริงแท้ ถ้าเป็นความจริงแท้อันนั้นมันจบสิ้นไง

ฉะนั้น เราอยู่ในโลกอย่างนี้ไง อยู่ในโลกที่ว่ามันมีทัศนคติ มันมีความรู้สึกนึกคิดร้อยแปด แล้วต่างคนต่างก็มีสติปัญญาทั้งนั้น แล้วถ้าปัญญาของใคร ใครศึกษาสิ่งใดมาก็ถือตัวถือตนว่าสิ่งที่ตัวเองนั้นสำคัญ สิ่งที่ตัวเองรู้ไง ทีนี้เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านวางไว้หมดๆ สิ่งใดก็แล้วแต่วางไว้ แต่เดิมนะ มันมีกระแสต่างๆ ร้อยแปดท่านรับฟังไว้ทั้งนั้นน่ะ แล้วท่านไม่ออกมาพูดเลย แต่กรณีนี้ออกมาพูด

ท่านพูดอย่างนี้ บั้นปลายชีวิตเรา บั้นปลายชีวิต สิ่งที่พูดไว้เพื่อประโยชน์กับโลกไง บั้นปลายชีวิตของท่าน ท่านถึงออกมาพูด ถ้าไม่พูด มันก็ไม่เป็นประเด็นขึ้นมา แต่ประเด็นขึ้นมามันก็เป็นประโยชน์กับเรานี่แหละ เป็นประโยชน์กับนักปฏิบัติ แต่คนที่เขาไม่เห็นด้วยเขาก็ต้องจะมีข้อโต้แย้งๆ โต้แย้งนี้โต้แย้งจากมุมมอง โต้แย้งจากความเห็นของเขา แต่ถ้าเป็นความจริงแล้วนะ มันต้องพิสูจน์กันด้วยข้อเท็จจริง เพราะศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งความจริง เอวัง